*..รอโหลดซักกะเดี๋ยวเตง..*           วิกฤติการเมืองเรื่องฅนตอแหล..๒๕๕๕
. . . ร่วมด้วยช่วยกันเผยแพร่สื่อสารถึง"คนเสื้อแดง"ทั่วไทยและทั่วโลก . . . ขอขอบพระคุณเจ้าของclipภาพถ่ายและบทความทุกๆท่านที่กรุณาเอื้อเฟื้อแบ่งปัน . . .น้ำใจซื้อขายไม่ได้ แต่น้ำใจให้กันได้...อิอิ


PlayListนี้ เริ่มต้นด้วย "เล่าเรื่อง ตาดูดาวเท้าติดดิน" เรียงลำดับตั้งแต่ ตอนแรก ถึง ตอนปัจจุบัน ..ท้ายเพลย์ลิสท์เป็นคลิป "เมื่อศาลรัฐธรรมนูญกระทำขัดรัฐธรรมนูญ : จะทำอย่างไร?" วันพุธที่ 1 พฤษภาคม 2556 เวลา 13.00 - 16.00 น. ห้องกมลทิพย์ ชั้น 2 โรงแรมสุโกศล (สยามซิตี้เดิม) คลิปนี้..วิทยากร รศ.ดร.วรเจตน์ ภาคีรัตน์ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ แสดงความคิดเห็นเริ่มนาที 0:14:24
คลิกที่นี่ ดูบนyoutube...
หรือคลิกที่นี่.. @ AsiaUpdate "เล่าเรื่อง ตาดูดาวเท้าติดดิน"

คลิกที่นี่ ดูบนyoutube...

คลิกที่นี่ ดูบนyoutube...

คลิกที่ภาพ...เพื่อดูขนาดที่ใหญ่ขึ้น

วันเสาร์ที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2556

06... แต่อดีตจวบปัจจุบัน... ลูกอีช่างค้าน ค้านแม่ง..ทุกเรื่อง

@ ภาพหนึ่งภาพ แทนคำพูดล้านคำ..
@ เพิ่งเคยเห็นนายกฯคนแรกนี่แหละ ที่สนับสนุนให้เด็กเก่งคณิตศาสตร์
@ แด่..มนุษย์เงินเดือน "อันความรู้ รู้กระจ่างแต่อย่างเดียว แต่ให้เชี่ยวชาญเถิดจะเกิดผล"
@ สิ่งที่ควรรู้ ก่อนเรียน Master of Business Administration (MBA)
@ ฮู้ยยยย...สติแตกกันไปหมดแย้วทั้งคนเล่นและกองเชียร์แนวร่วม
@ ความเป็นมาของ คดีสะเทือนโลก "ที่ดินรัชดา" ที่ทุกๆคนควรรู้!!!
@ ผมไม่ได้แหล!!! แต่เรื่องดีๆอย่างนี้..clickดูเองเหอะ
@ มือหยาบกร้านคู่นั้น มีแต่เส้นเอ็นปูดโปน...ทำให้ผมนึกถึงมือของผู้หญิงคนหนึ่ง...
@ สาระน่ารู้... เขาซื้อทองคำ ขายทองคำ กันอย่างไร?????
@ "ลื้อมีร่มมั้ย??..." แค่คำนี้แหละ ที่ทำให้นิสัยผมเปลี่ยนทันที
@ เฮ้อ!! ณ นาทีนี้..บอกได้คำเดียว เสียดาย..เสียดายครับ...นโยบายดีๆที่คน กทม. ไม่เอ๊า..ไม่เอา...

คลิกที่ภาพ...เพื่อดูขนาดที่ใหญ่ขึ้น @ New!! แจกปฏิทินนายกฯปู พ.ศ.2556 คลิกที่นี่...

คลิกที่ภาพ...เพื่อดูขนาดที่ใหญ่ขึ้น


โครงการ 30 บาท ถึง พ.ร.บ.กู้ 2 ล้านล้าน พิสูจน์ วิสัยทัศน์
By: หน้า 3 มติชนรายวัน ฉบับวันที่ 30 มี.ค. 2556

เห็นบรรยากาศการอภิปรายในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรเมื่อวันที่ 28 มีนาคม แล้ว ให้บังเกิดการระลึกชาติไปยังบรรยากาศการอภิปรายในที่ประชุมสภาเมื่อ 12 ปีก่อน

เพราะมีทั้ง "ความเหมือน" และ "ความต่าง"

ต่างตรงที่เมื่อ 12 ปีก่อนเป็นการอภิปรายในเรื่องอันเกี่ยวกับโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค ขณะที่ ณ วันนี้ เป็นการอภิปรายในเรื่องอันเกี่ยวกับร่างกฎหมายให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของประเทศ

ต่างตรงที่เมื่อ 12 ปีก่อนเป็นรัฐบาลพรรคไทยรักไทย

เหมือนตรงที่ฝ่ายที่ลุกขึ้นมาคัดค้านต่อต้านอย่างชนิดหัวชนฝายังเป็นพรรคประชาธิปัตย์และยังเป็น นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ

เนื้อหายังเหมือนเดิม คือ จะเอาเงินมาจากไหน

ต่างตรงที่เมื่อ 12 ปีก่อนผู้ที่ลุกขึ้นมาอธิบายอย่างชนิดรู้จริงในเรื่องโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค เป็น นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ขณะที่ ณ วันนี้ เป็นนายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม

ต่างตรงที่ความสงสัยเมื่อ 12 ปีก่อนมิได้เป็นความสงสัยต่อไปอีกแล้ว

โครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค ผงาดยืนอย่างองอาจและมั่นคงเพื่อประชาชน

อาจกล่าวได้ว่า นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี แจ้งเกิดทางการเมืองจากการอธิบายโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค อย่างเป็นที่กระจะเพราะรู้จริงและพูดเป็น

เส้นทางการเมืองของ นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี ก็เติบใหญ่ก้าวหน้าเป็นลำดับไปยังกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ไปยังกระทรวงการคลังและดำรงตำแหน่งเป็นเลขาธิการพรรคพลังประชาชน

แม้วันนี้ก็ยืนอยู่ไม่ห่างไปจากพรรคเพื่อไทยมากนัก

เส้นทางการเมืองของนายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ จึงเป็นอีกคนหนึ่งที่น่าศึกษา น่าติดตามอย่างเป็นพิเศษ

1 มีพื้นฐานทางด้านวิศวกรรมศาสตร์ระดับปริญญาเอก

1 เริ่มต้นจากตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการและในห้วงเวลาอันรวดเร็วก็ได้รับความไว้วางใจให้ดำรงตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม

ยึดกุมโครงการไทยแลนด์ 2020

เงินกู้ 2.2 ล้านล้านบาท คือ ความรับผิดชอบโดยตรงของ นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ เหมือนที่พรรคไทยรักไทยเคยมอบหมายให้ นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี ขับเคลื่อนโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค

ตีฝ่ากระแสต้านจากพรรคประชาธิปัตย์มาได้

ณ วันนี้ แม้กระทั่งรัฐบาลอันมาจากปากกระบอกปืน หรือรัฐบาลอันมีพื้นฐานมาจากค่ายทหารก็ไม่สามารถปฏิเสธโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรคได้

มีความพยายาม "ขยาย" ให้ "ประชานิยม" อย่างเตลิดเปิดเปิง

1 เพื่อสร้างภาพว่าให้ประชาชนมากกว่าที่พรรคไทยรักไทยเคยให้ 1 เพื่อลบคำว่า 30 บาทรักษาทุกโรค ออกจากสารบบ

แต่ก็ล้มเหลว

ภายในจินตภาพของชาวบ้านยังจำหลักหนักแน่นอยู่กับปฏิมาของโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค ไม่เคยเสื่อมคลาย

เป็นคะแนนอันตรึงตราต่อพรรคไทยรักไทย พรรคพลังประชาชนพรรคเพื่อไทย

ขณะเดียวกัน สถานการณ์การต่อต้านคัดค้าน อย่างสุดลิ่มที่ประตูเมื่อ 12 ปีก่อนของพรรคประชาธิปัตย์ ก็ประจานให้เห็นถึงสายตาว่าเคยสั้นมากน้อยเพียงใด อ่านแจ้งแทงตลอดในเรื่องการบริหารจัดการอย่างไร

ต่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของประเทศ ณ วันนี้ ก็ดุจเดียวกัน

ทั้งหมดนี้ไม่เพียงแต่สะท้อนถึงวิสัยทัศน์อันแตกต่างอย่างฟ้ากับเหว ยังสะท้อนถึงแนวคิดพื้นฐานของการพัฒนาและการไม่ยอมพัฒนา

อ้างประชาชน แต่ไม่รับใช้ประชาชน

บทเรียนจากโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรคของพรรคไทยรักไทยเมื่อ 12 ปีก่อน มีความแจ่มชัดยิ่ง

บทเรียนนี้กำลังวนกลับมาพิสูจน์ทราบถึง "กึ๋น" ของพรรคประชาธิปัตย์อีกครั้งต่อกฎหมายให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของประเทศ

กับ "กึ๋น" ของพรรคเพื่อไทย ของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร


@ ทิ้งหนี้ไว้ให้ลูกหลาน โดย ดร.วีรพงษ์ รามางกูร

เปิดบันทึก เกษม จาติกวณิช จี้สำนึก กรณ์-ปชป.วาทกรรมถ่วงความเจริญ..สร้างหนี้สินให้ลูกหลาน!!
By: พระนครสาส์น 28มี.ค.2556

เป็นอีกครั้งที่ "กรณ์ จาติกวณิช" รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้ออกมาแสดงบทบาท "กูรูเศรษฐกิจ" ด้วยการเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงหลักของ "พรรคประชาธิปัตย์" ในการออกมาคัดค้าน โครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ด้วยการออก พ.ร.บ.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการพัฒนาโคตรงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของประเทศ พ.ศ. ...

โดย "กรณ์ จาติกวณิช" พยายามจะบอกว่า "การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคม" ของ "ประเทศไทย" ครั้งนี้อาจจะทำให้ต้อง "เป็นหนี้" ไปเป็นระยะเวลายาวนานกว่า 50 ปี หรือที่ "พรรคประชาธิปัตย์" ได้ผลิต "วาทกรรม" ออกมาทำลายล้างทางการเมืองว่า "สร้างหนี้สินแก่ลูกหลาน" !!!

"กรณ์ จาติกวณิช" นั้นก็คือ อดีต "ขุนคลัง" ของ "รัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ" ผู้ซึ่งเป็นต้นเรื่อง "แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555" เนื่องจากเป็นกำลังหลักในการ ผลักดัน "พ.ร.ก.กู้เงิน" และ "พ.ร.บ.กู้เงิน" จำนวนทั้งสิ้นกว่า 8 แสนล้านบาท มาละลายในระยะเวลา 2 ปีที่ "พรรคประชาธิปัตย์" เป็นรัฐบาล

การคัดค้าน "การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ" ครั้งนี้ก็เป็นอีกครั้งหนึ่งที่ "พรรคประชาธิปัตย์" ออกมาใช้วาทกรรม ... "สร้างหนี้สินแก่ลูกหลาน" ในการขัดขวางความก้าวหน้าของประเทศ เหมือนที่ "พรรคประชาธิปัตย์" ในอดีตเคยทำมาครั้งหนึ่งแล้วในอดีต

โดย "กรณ์ จาติกวณิช" อาจจะกำลังลืมตรงนี้ไป หรือไม่ก็อาจจะไม่เคยสนใจศึกษาหาข้อมูลในส่วนนี้จาก "เกษม จาติกวณิช" ผู้เป็น "ลุง" แท้ๆ!

โดย "เกษม จาติกวณิช" หรือ "ซุปเปอร์เค" อดีตผู้ว่าการการไฟฟ้าฝ่ายผลิต (กฟผ.) คนแรก (เสียชีวิตแล้ว) ได้ "บันทึกความทรงจำ" เรื่อง "เขื่อนภูมิพล ประวัติศาสตร์ของการใช้เทคโนโลยี" โดยได้เผยแพร่อยู่ในเว็บไซด์ของ กฟผ. (http://24webhost.com) ตอนหนึ่งว่า

"...การสร้างเขื่อนภูมิพลซึ่งตอนแรกเรียกว่า เขื่อนยันฮีนั้น ตั้งใจสร้างขึ้นเพื่อประโยชน์ทางเกษตรกรรม แต่ที่ต้องใช้ในการผลิตกระแสไฟฟ้าด้วย ก็เพื่อหารายได้มาชำระหนี้ธนาคารโลก ซึ่งเราต้องกู้เงินเขามาเพื่อใช้ในการสร้างเขื่อน ไม่อย่างนั้นเราจะเอาเงินที่ไหนไปใช้หนี้เขา จะไปเก็บค่าน้ำจากชาวนาก็ไม่ได้ ต้องหารายได้จากผู้ใช้ไฟฟ้า...

พูดถึงการสร้างเขื่อนใหญ่ขนาดนั้น เทคโนโลยีของไทยยังทำไม่ได้ ต้องจ้างบริษัทรับเหมาฝรั่งมาทำ มีการขนอุปกรณ์ต่างๆขึ้นไป เหมือนกับการตั้งเมืองที่นั่นเลย การสร้างเขื่อนภูมิพล เป็นแม่บทของการสร้าง เขื่อนต่างๆภายหลัง ซึ่งต่อมาคนไทยก็สร้างเองได้

เขื่อนภูมิพล เป็นเขื่อนคอนกรีตโค้ง ที่ใหญ่และสูงที่สุดในแถบเอเชียในยุคนั้น แม้ปัจจุบัน ก็ยังได้ชื่อว่าเป็นเขื่อนสูง แต่ไม่สูงสุดแล้ว เพราะตอนนี้ จีนกำลังสร้างเขื่อนสูงที่สุดในโลก กั้นแม่น้ำแยงซี ต้องย้ายประชาชนเป็นจำนวนล้านๆคน

เขื่อนภูมิพล เริ่มสร้างในยุค จอมพล ป.พิบูลสงคราม ต่อมาจนถึงจอมพลสฤษดิ์ และมาแล้วเสร็จในสมัยจอมพลถนอม กิตติขจร ใช้เงินกู้จากธนาคารโลก 65 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งเป็นเงินก้อนใหญ่ที่สุด ที่ธนาคารโลกปล่อยให้กู้ คิดเป็นเงินไทยตอนนั้นก็ประมาณ 1,000 กว่าล้านบาท ใช้เงินไทยอีก 700 ล้านบาท ค่าใช้จ่ายโดยรวม ก็ประมาณ 2,000 ล้านบาท ซึ่งก็ถูกโจมตีว่า สร้างหนี้สินแก่ลูกหลานดังกล่าว แต่เราก็ชำระเงินเต็มจำนวนตามงวดที่กำหนดโดยไม่เคยบกพร่อง โดยใช้เงินที่ได้จากการจำหน่ายกระแสไฟฟ้าเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ลูกหลานไม่ต้องเดือนร้อนแต่ประการใด

เรื่องการกู้เงิน และการชำระคืนของ กฟผ. นั้น ก็กลายเป็นแม่บทในด้านนี้ไปเหมือนกัน ทางธนาคารโลกจะแนะนำผู้กู้ยืมในระยะต่อมา ให้ไปศึกษาการดำเนินการทางด้านนี้จาก กฟผ.

ในด้านเกษตรกรรมนั้น เขื่อนภูมิพล ทำให้เกิดการทำนาได้ปีละ 2-3 ครั้ง บางทีได้ถึง 4 ครั้ง จากเดิมซึ่งเคยทำได้ปีละหน และปีใดฝนแล้งก็มีปัญหา ปีใดฝนหนัก น้ำท่วม นาก็ล่ม

การต่อต้านการสร้างเขื่อน สมัยนั้น ไม่มีการต่อต้านการสร้างเขื่อน จากประชาชน ซึ่งมีเพียงจำนวนน้อย ในบริเวณที่ต้องโยกย้ายออกไป มีแต่การต่อต้านจากทางการเมือง สมัยนั้นท่านจอมพล ป.พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี มีพรรคการเมืองหลายพรรคต้องการล้มท่าน โดยเฉพาะ"พรรคประชาธิปัตย์" และพรรคของอาจารย์สุกิจ นิมมานเหมินทร์ ซึ่งทำการคัดค้านอย่างแรงมาก อย่างไรก็ตาม เขื่อนก็แล้วเสร็จจนได้ พระราชบัญญัติก็ผ่านออกมาแล้ว แต่หลังจากนั้นไม่นาน รัฐบาลจอมพล ป. ก็ถูกล้มโดยจอมพลสฤษดิ์ ธนรัชต์ จนต้องหนีไปอยู่ญี่ปุ่น

การต่อต้านอีกทางหนึ่งมาจากหนังสือพิมพ์ ซึ่งขณะนั้นก็มีไม่กี่ฉบับ มีของจอมพลสฤษดิ์ อยู่ฉบับหนึ่ง ซึ่งทำการต่อต้านรุนแรงมาก โจมตีการสร้างเขื่อน เป็นการสร้างหนี้ให้แก่ลูกหลาน จะต้องใช้หนี้ต่างประเทศไปอีกกว่า 20 ปี...

ความประทับใจ คือ การสร้างเขื่อนภูมิพลในตอนนั้น เป็นการสร้างประวัติศาสตร์ใหม่ แก่ประเทศไทย ด้วยการใช้เทคโนโลยีในการสร้าง รวมทั้งการนำพลังน้ำ มาใช้ในการผลิตกระแสไฟฟ้า การเกิดรัฐวิสาหกิจขนาดใหญ่อย่าง กฟผ. ซึ่งก่อนนั้น ก็มีเพียงรัฐวิสาหกิจเล็กๆ มีการออกกฎหมายใช้เฉพาะ ก็เป็นครั้งแรกที่มีขึ้น และทำให้กิจการรุ่งเรือง เพราะไม่มีการเมืองเข้ามายุ่ง กรรมการจะถูกไล่ออกไม่ได้ นอกจากเขากินเขาโกง หรือหมดวาระ การประมูลทุกครั้งโปร่งใส จะกี่พันกี่หมื่นล้าน ไม่ต้องผ่านรัฐมนตรี ทำกันเอง เสนอรัฐมนตรีแต่เพียงว่า ปีนี้จะใช้เท่าไร..."

ชัดเจนว่า "เกษม จาติกวณิช" ผู้เป็น "ลุงแท้ๆ" ของ "กรณ์ จาติกวณิช" บันทึกเอาไว้ว่า "พรรคประชาธิปัตย์" คือผู้ขัดขวางการสร้างสร้างเขื่อนครั้งนั้น

และเป็น "พรรคประชาธิปัตย์" ก็เป็นผู้ใช้ "วาทกรรมทางการเมือง"ว่า "สร้างหนี้สินแก่ลูกหลาน" ในการ "ทำลาย" ผู้เกี่ยวข้องและผู้ผลักดัน

ซึ่งท้ายที่สุดแล้ว เมื่อเขื่อนได้รับการก่อสร้างจนแล้วเสร็จ "ลูกหลาน" ก็ไม่มีใคร เดือดร้อนจากการเป็น "หนี้สิน" แต่ "ลูกหลานไทย" ทุกคนกลับได้ใช้ประโยชน์กันถ้วนทั่ว ทั้งเรื่องของการกักเก็บน้ำกิน-น้ำใช้ ไปจนถึง การผลิตกระแสไฟฟ้า และสถานที่ท่องเที่ยวพักผ่อนหย่อนใจ สร้างรายได้ให้กับประชาชนคนไทย

แล้ววันนี้ "พรรคประชาธิปัตย์" และ "กรณ์ จาติกวณิช" ที่กำลังใช้วาทกรรม "สร้างหนี้สินแก่ลูกหลาน" อีกครั้ง นั้นคงต้องหาหนทางกลับไปถาม "เกษม จาติกวณิช" ว่า สมเหตุ สมผล และที่สำคัญคือสมควรหรือไม่ ???


ตอนสร้างรถไฟลอยฟ้า BTS พรรคการเมืองพรรคนี้ก็ค้านมันทุกรูปแบบ
By: spyclassic เว็บpantip

สมัยพรรคพลังธรรม เป็นผู้ว่าฯ กทม. (ถ้าจำไม่ผิด) ได้ผลักดันระบบขนส่งรางในเมือง เป็นรถไฟลอยฟ้า BTS เพื่อแก้ไขวิกฤตการจราจรในกรุงเทพฯ

- สายแรก จตุจักร - อ่อนนุช

- สายสอง สนามกีฬาแห่งชาติ - ตากสิน

โดยสามารถเปลี่ยนเส้นทางได้ที่สถานีสยาม

และเมื่อเริ่มสร้างใหม่ๆก็มีพรรคประชาธิปัตย์นี่แหละที่ออกมาคัดค้านทุกรูปแบบ ถึงขนาดให้นักเรียน ผู้ปกครองและครูบางโรงเรียนออกมาถือป้ายคัดค้าน มีคนใหญ่คนโต ไฮโซ ไฮซ้อตระกูลดังมากมายมาถือป้าย แม้แต่สาวก ปชป.ก็ออกมาคัดค้านโดยสร้างวาทกรรมเหมือนตอนนี้นี่แหละ ประมาณว่า

- สร้างมลภาวะ ทั้งสถาปัตยกรรมบดบัง มลภาวะทางเสียง การจราจรติดขัดเพราะเสียช่องทางทำให้รถติดมากกว่าเดิม

- เส้นทางระยะสั้น จะมีประโยชน์อะไรในการแก้ไขปัญหาจราจรเดินทางกลับบ้าน สร้างไว้ให้ประโยชน์กับหนุ่มสาว office ได้นั่งรถไปกินข้าวเที่ยง ช็อปปิ้งแถวสยามมากกว่า

- ตั๋วก็แพง ใครจะนั่ง

แล้วปัจจุบันตอนนี้เป็นอย่างไร ส่วนขยายสถานีตากสินก็ข้ามไปฝั่งธนฯแล้ว ตอนนี้ก็กำลังขยายไปเส้นราชพฤกษ์ สถานีอ่อนนุชก็ขยายไปแบริ่ง

ตั๋วแพงใครจะนั่ง จากรถ 3 โบกี้ ไม่พอต้องขยายไป 4 โบกี้ โรงเรียนที่คัดค้านๆ ต่อมาก็ขอเชื่อมสถานีเข้ามาในโรงเรียนเลย

เส้นทางไปไม่ถึงบ้าน เขาก็สร้างคอนโดแนวรถไฟฟ้า คนไปซื้ออยู่กันตรึม ไล้ฟสไตล์การใช้ชีวิตเปลี่ยนไปเลย คุณภาพชีวิตดีขึ้นไม่ต้องติดบนรถ

พอมา พ.ศ.2556 มาอีกแล้ว พรรคการเมืองพรรคเดิมตัวถ่วงความเจริญตัวจริงเสียงจริงซึ่งรวมถึงสาวก ปชป.ด้วย กับวาทกรรม

- สร้างแค่โคราช หัวหินทำไม แล้วสร้างเพื่อขนแต่ผักหรอ

คิดได้แค่นี้จริง ผมว่าไม่ใช่โง่แล้ว พิการสมอง จิตใจก็มืดบอด บ่งบอกถึงตัวถ่วงความเจริญ มือไม่พายเอาตีนราน้ำ ไม่เคยมีวิสัยทัศน์มองอนาคตเกินกว่า 10 ปีเลย...พับเผ่ย!!


@ เอกสารแนบท้ายประกอบการพิจารณา พรบ. กู้เงินเพื่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน 2 ล้านล้านบาท

@ ทำความเข้าใจก่อนวิจารณ์ "การลงทุน 2 ล้านล้าน" กับ รัฐมนตรีชัชชาติ สิทธิ์พันธุ์



Taona Sonakul

...........ขอพูดแทนนายก ยิ่งลักษณ์ค่ะ


"................ทุกท่านรู้ดีแก่ใจว่าดิฉัน..ไม่ได้สร้างรถไฟความเร็วสูงเพียงเพื่อแค่ขนผักให้ไม่เน่า ถ้าหากประโยคนี้ทำให้คนฉลาดมากมายที่นั่งดูอยู่เคืองใจและหลุดประเด็นจนไม่สามารถเห็นภาพได้ว่าแผนการทั้งหมดนี้คือการลงทุนเพื่อปรับพื้นฐานของประเทศให้ดีขึ้น เพื่อให้ประชาชนทั้งประเทศได้ประโยชน์ไปพร้อมๆกัน มากบ้างน้อยบ้างตามแต่ใจที่จะเปิดกว้างของ แต่ละคน ที่จะเลือกและมีความสามารถที่จะต่อยอดจากปัจจัยพื้นฐานนี้ยิ่งๆขึ้นไปได้ ดิฉันก็ต้องขอโทษด้วยที่ดิฉัน ต้องเลือกที่จะหาสิ่งที่จะมาอธิบายที่ดิฉันคิดว่าประชาชนทั่วไปจะเข้าใจได้ง่ายที่สุด เพราะจินตนาการของผลที่จะเกิดขึ้นจากโครงการนี้ในระดับสูง ๆ ลึก ๆ กว้าง ๆต่อไป เป็นอะไรที่ดิฉันไม่อยากรีบอวดอ้าง และจินตนาการก็มักจะเป็นสิ่งที่เป็นความสามารถส่วนตัว เป็นทางเลือกและวิธีที่จะใช้ชีวิตของแต่และคน บางคนเลือกคิดต่อยอดแต่ด้านบวก บางคนก็คิดแต่อะไรที่จะสร้างแต่ความบั่นทอนในการใช้ชีวิต

ดิฉันได้ตระหนักแล้วว่า ถ้าหากประชาชนคนใดมีความรังเกียจในตัวดิฉัน มีความเชื่อว่าดิฉันเป็นคนโง่ เป็นคนเลว เป็นน้อง พ.ต.ท.ทักษิณที่ไม่ อ...าจให้ อภัยได้ ดิฉันก็คงมิอาจจะสามารถหาคำใดในโลกมาอธิบายถึงความจำเป็นเร่งด่วนที่เราจะต้องทำโครงการที่มีความต่อเนื่องระดับนี้แล้ว ดิฉันทราบดีว่ามีประชาชนจำนวนหนึ่งที่ก็รู้อยู่เต็มอกว่าชอบ ว่าต้องการโครงการเหล่านี้ ปัญหาของท่านคือแค่ท่านไม่ชอบและจะไม่มีวันไว้ใจในดิฉัน

แต่เนื่องจากดิฉันเป็นรัฐบาลที่ได้รับการเลือกตั้งอย่างถูกต้องมาจากเสียงส่วนมาก ดิฉันจึงมิอาจวางแผนการสร้างโครงการนี้ขึ้นมาแล้วส่งต่อไปให้พรรค ปชป. ทำแทนได้ค่ะ ทั้งนี้ปัจจุบันประเทศไทยกำลังอยู่ในจุดที่เหมาะสมที่สุดแล้วที่เราจะทำสิ่งเหล่านี้ เราเสียเวลามามากแล้ว

ระบบพื้นฐานของประเทศไทยคือผักที่เน่าแล้วเน่าอีก ยิ่งทิ้งไว้ก็จะมีแต่ลามทำลายทั้งตัวเองและเพื่อนบ้าน ขอความกรุณาให้ดิฉันได้หยุดและโยนผักเน่าเหล่านี้ทิ้งซะในขณะที่รัฐมนตรี ชัชชาติยังหนุ่ม ยังแข็งแรงมีไฟ ทำงานได้เกินร้อยอยู่

ถ้าหากท่านเชื่อจริง ๆ ว่ารัฐบาลอื่น ๆ จะสามารถหาและแต่งตั้ง คนอย่าง รมต. ชัชชาติ ขึ้นมาเป็น รมต. คมนาคม ได้ เพื่อทำงานตรงจุดนี้เพื่อพวกท่านอย่างดีที่สุดได้ ก็ขอรบกวนให้พวกท่านถามตัวเองสักนิดว่า เหตุใดเหตุการณ์ โครงการ และคนที่เหมาะสมในการทำงาน แบบที่ดิฉันได้จัดวางมานี้จึงไม่ได้เกิดขึ้นมานานแล้ว

ขอโอกาสให้พวกเราได้ทำงานเถอะค่ะ ผักหนะเน่าและถูกกองทิ้งไว้มานานแล้ว อย่าปล่อยให้มันมากวนใจเราอีกเลย มาเริ่มต้นใหม่กันเถอะค่ะ"

คลิปที่ผมนึกถึงทุกทีที่อ่านข่าวเกี่ยวกับโครงการ 2.2 ล้านล้าน
By: I_Feel_Control เว็บpantip

ในขณะที่คนกลุ่มแรกทำเพื่อคนอื่น แต่จะมีคนอีกกลุ่มหนึ่งที่นอกจากจะไม่ได้ทำเพื่อคนอื่นแล้ว ยังขัดขวางเขาเสียทุกทางด้วย

แต่แล้วด้วยบุคลิกที่ดูดีและเป็นคนดีเสียเหลือเกิน คนกลุ่มหลังกลับอวดอ้างเอาความดีเข้าตัว และได้รับคำชื่นชมและยกย่องไปเสียอย่างนั้น

หากยังมีความละอายเสียบ้าง คนพวกนี้ก็ควรให้เครดิตคนที่เขาทำจริง ไม่ใช่ใช้วาทกรรม "คิดก่อน แต่ไม่ได้ทำ เพราะ...."



เอามาให้อ่านอีกรอบ...
By: สายชล26 เว็บpantip

เกินจะเรียกว่า เป็นนิสัย ไปแล้ว ... สำหรับพรรคแมลงสาบ

มือไม่พาย แต่เอาเท้าราน้ำ ... พอเรือวิ่งได้ดี ผู้คนชื่นชม ก็บอกว่า เป็นเพราะฉันเป็นคนเริ่มคิดเอาเรือออกจากท่า

ลองย้อนกลับไปที่เห็นชัด ๆ ก็คือ ... โครงการ 30 บาท รักษาทุกโรค

ไทยรักไทย หยิบเอามาเป็น "นโยบายธง" ในการหาเสียง ... และได้เข้ามาเป็นรัฐบาล

วันแถลงนโยบาย หมอเลี๊ยบ เป็นคนอภิปรายแถลงเรื่องนี้ ... อภิสิทธิ์ เป็นคนอภิปรายคัดค้าน

อภิสิทธิ์ ได้อภิปรายว่าเป็นโครงการที่ทำแล้วจะล้มเหลว บลา ๆ ๆ ๆ

สุดท้าย ไทยรักไทย ได้ผลักดัน จน"เรือ 30 บาท " ออกจากท่า ... ทำให้คนไทยมีหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า

แมลงสาบ ก็ได้กระแนะกระแหน ... โดยใช้วาทกรรม ... "30 บาท ตายทุกโรค"

ที่น่าสมเพชที่สุด ก็คือ ตอนที่ พรรคแมลงสาบ เอานโยบายของไทยรักไทย ไปเขียนแปะไว้ที่บันไดขึ้นพรรค

ให้ผู้คนเดินข้าม ... ตัวอักษร ที่เขียนเป็นนโยบาย รวมทั้ง 30 บาท รักษาทุกโรค ด้วย

คนไทยโบราณ ถูกสอนให้เคารพ "ตัวอักษร" ...

แต่พวกแมลงสาบสิ้นคิด เพียงเพื่อเหยียดหยัน นโยบายของฝ่ายตรงข้าม ... ถึงกับ ลบหลู่ "ตัวอักษร" จงใจให้ผู้คนเดินข้าม ซะอย่างนั้น

สุดท้าย พอผู้คนชื่นชมนโยบายนี้ ... ก็เข้ามาอ้างว่า "ต่อยอด" มาจาก โครงการสงเคราะห์ผู้มีรายได้น้อย

สื่อแนวร่วมของแมลงสาบ ก็ออกมาร้องว่า ... ริเริ่มโดยหมอสงวน

แต่ไม่ยอมบอกว่า ... เพราะ ความกล้าหาญ ของไทยรักไทย ที่นำแนวคิดที่มีมานาน แต่ไม่มีใครกล้าทำ มาปฏิบัติเพื่อคนไทย

จนโครงการนี้ ... ยืนยง มาจนวันนี้


@ ทำความเข้าใจก่อนวิจารณ์ "การลงทุน 2 ล้านล้าน" กับ รัฐมนตรีชัชชาติ สิทธิ์พันธุ์

@ เขียนให้อ่าน..จากใจ ดร.วีรพงษ์ รามางกูร

@ ทิ้งหนี้ไว้ให้ลูกหลาน โดย ดร.วีรพงษ์ รามางกูร

@ คุณเชื่อใคร.. ระหว่าง กนก ส.ส.ปชป. กับ หัวหน้าวินมอเตอร์ไซค์