@ เพิ่งเคยเห็นนายกฯคนแรกนี่แหละ ที่สนับสนุนให้เด็กเก่งคณิตศาสตร์
@ แด่..มนุษย์เงินเดือน "อันความรู้ รู้กระจ่างแต่อย่างเดียว แต่ให้เชี่ยวชาญเถิดจะเกิดผล"
@ สิ่งที่ควรรู้ ก่อนเรียน Master of Business Administration (MBA)
@ ฮู้ยยยย...สติแตกกันไปหมดแย้วทั้งคนเล่นและกองเชียร์แนวร่วม
@ ความเป็นมาของ คดีสะเทือนโลก "ที่ดินรัชดา" ที่ทุกๆคนควรรู้!!!
@ ผมไม่ได้แหล!!! แต่เรื่องดีๆอย่างนี้..clickดูเองเหอะ
@ สาระน่ารู้... เขาซื้อทองคำ ขายทองคำ กันอย่างไร?????
@ เฮ้อ!! ณ นาทีนี้..บอกได้คำเดียว เสียดาย..เสียดายครับ...นโยบายดีๆที่คน กทม. ไม่เอ๊า..ไม่เอา...
คลิกที่ภาพ...เพื่อดูขนาดที่ใหญ่ขึ้น @ New!! แจกปฏิทินนายกฯปู พ.ศ.2556 คลิกที่นี่...
คลิกที่ภาพ...เพื่อดูขนาดที่ใหญ่ขึ้น
เรื่องจริงที่เกิดขึ้นกับผม เพราะระบอบทักษิณ
"ทักษิโณมิกส์ Thaksinomics"
By: สมาชิกหมายเลข 843208 เว็บ pantip
ต้องขอออกตัวก่อนครับว่า ไม่มีเจตนาจะอวด จะอวย จะทะเลาะ อะไรกับใครทั้งสิ้น เพียงแต่อยากเล่าเรื่องจริงที่เกิดขึ้นแค่นั้นครับ อนึ่ง ผมเคยอ่านกระทู้เพื่อนท่านบอกว่า "ความฉลาดนี่แปลก อวดทีไรโง่ทุกที" ผมว่าทุกอย่างละครับ ถ้าอวดแล้วจะโง่ทันที ผมจะพยายามไม่ให้เกิดสิ่งเหล่านี้ แต่มองว่าเป็นการอวดก็ขอให้เข้าใจว่า ผมไม่มีเจตนาเช่นนั้น
อยากจะบอกว่า "คนเราเกิดมาไม่ได้ดีไปหมดทุกอย่าง" เหมือนนายกฯทักษิณ ใครๆก็บอกว่าท่านเลว แต่ส่วนดีของท่านก็มีดังที่ผมจะเล่าต่อไปนี้...
ผมเป็นลูกชาวนาครับ แม่เล่าให้ฟังว่าหลังจากขาดทุนจากการทำไร่อ้อยก็มาทำนาอย่างเดียว เด็กๆ ผมก็เดินเทียวโรงเรียนกับเพื่อนๆ ระยะทางไปกลับประมาณ 20 กิโลเมตร เป็นทางเกวียนข้างทางเป็นป่า ขากลับผมและเพื่อนๆ ก็มักจะแวะเก็บหมากเล็บแมว หมากขี้หนู หรือไม่ก็หมากผีผ่วนกินประจำ สนุกดีครับ เพราะยากจนพ่อกับแม่จึงส่งพี่ชายมาเรียนหนังสือกับปู่จนได้รับราชการครู (เงินเดือนพันกว่าบาท น้อยมาก)
ต่อมาเมื่อขึ้น ป.4 ผมไปเรียนอยู่กับพี่ชาย ที่ที่ผมอยู่เป็นพื้นที่สีชมพู คือ พื้นที่คอมมิวนิสต์ ที่นี่เป็นคอมมิวนิสต์เกือกทุกครัวเรือน อยู่ที่นี่ลำบากครับทุกเรื่อง ไม่มีไฟฟ้า ทีวี ประปา ถนนหนทางก็ไม่ดี อาหารการกินส่วนหนึ่งซื้อส่วนหนึ่งหากินเองตามธรรมชาติ แล้วแต่ชาวบ้านจะเอามาขาย พี่ผมเป็นครูบรรจุใหม่ๆ หลังตกเบิกไม่นานก็ต้องทำเรื่องกู้ เหตุผลผลคือต้องแต่งงาน ซื้อมอไซค์ขี่ไปสอนหนังสือเพราะโรงเรียนอยู่ไกล เงินเดือนก็น้อยอยู่แล้วยังต้องหักโน่นนี่ สิ้นเดือนก็เหลือไม่กี่บาท แต่ภาระที่ต้องดูแลคนในครอบครัวมันเยอะ นี่ยังไม่รวมรายจ่ายอื่นที่ไม่คาดคิด ก็ทำให้เป็นหนี้สินผูกพันกันมาเรื่อยๆ
ที่นี่ยิงกันบ่อยระหว่าง เจ้าหน้าที่ฝ่ายบ้านเมืองกับทหารป่า ยิงกันเหมือนในหนังเลยหละ ลอบเผาสะพาน เหมือนกับภาคใต้ของเราตอนนี้ แต่ที่ไม่เหมือนคือ บ้านผมเขาไม่ฆ่าครู ไม่ฆ่าเด็ก หรือข้าราชการอื่นยกเว้น อส. ทหาร ตำรวจ และชาวบ้านที่เป็นสายของแต่ละฝ่ายเท่านั้น และไม่มีการวางระเบิด
ผมไปโรงเรียน เพื่อนๆมักจะเรียกผมว่า ไอ้คอมมิวนิสต์ ยังไม่รู้ว่าเพื่อนเข้าใจว่าอย่างไร ไม่ดี ป่าเถื่อน ล้มล้าง ต่อต้านอำนาจรัฐ ประมาณนี้หรือเปล่า ทุกครั้งที่ผมและเพื่อนๆไปไม่ทันเข้าแถวเคารพธงชาติ ครูฝ่ายปกครองก็จะจับเรียงแถวตี วันที่ 1 ตี 1 ที วันที่ 2 ตี 2 ที ตีไปเรื่อยๆ ผมทนเจ็บไม่ไหวผมก็เลยเข้าพบอาจารย์ฝ่ายปกครองคนที่ตีผม ชื่อ(อ.สำ...) ผมพูดกับอาจารย์ว่า พวกผมขึ้นรถตรงเวลา รถมาถึงเวลาไหนก็เวลานั้นแหละ มันไม่ใช่ความผิดพวกผม ครูแย้งว่าทำไมไม่บอกรถให้ออกจากบ้านเช้าขึ้น ผมบอกว่ารถวิ่งผ่านหลายหมู่บ้าน วันไหนคนน้อยก็ถึงไว วันไหนคนรายทางมากก็ถึงโรงเรียนสาย.. เช้าวันต่อมาก็ไม่มีเหตุการณ์นี้อีก (เรื่องนี้เพื่อนๆที่ร่วมเดินทางไม่มีใครรู้)
แต่ต่อมาไม่นานก็โดนตีอีก คราวนี้ผมโดน 3 ครั้ง ไม้ขาดกระเด็น เหตุเพราะผมใส่เสื้อกันหนาวไปโรงเรียนโดยไม่ใส่เสื้อนักเรียน
ผมนึกในใจว่า เหตุผลแค่นี้ครูก็เล่นหนักเสียจนจิตใจผมเตลิด ครูไม่ถามว่าเหตุผลคืออะไร ผมมีชุดนักเรียนเพียงชุดเดียว เสื้อซักทุกเย็น รองเท้า ถุงเท้า กางเกงอย่างละ 1 กลับถึงบ้านตอน 6 โมงเย็นหมดสิทธิ์ที่จะซักอย่างอื่น แต่วันนั้นลืมซัก ก็เลยใส่เสื้อกันหนาว ซึ่งปกติก็ใส่เสื้อกันหนาวไปเรียนอยู่แล้ว อาจารย์คนนี้คือ อ.อด... ผมรับไม่ได้กับการทำโทษพวกผมเพราะเหตุผลแค่นี้ ผมนึกในใจว่านี่มันโรงเรียนหรือคุกนักโทษกันแน่ บอกตามตรงว่า เจ็บใจมาก มันเหมือนเอาอำนาจมากดกัน ตอนนี้อายุ 45 ปีครับ ผมจำเรื่องนี้ได้ดี (หลังเสาธง ใต้ต้นสน ใต้แสงแดดอ่อนตอนเช้าในหน้าหนาว ไม้ขาดกระเด็นจนต้องเปลี่ยน)
ผมเรียนจบ ม.6 ก็เข้ากรุงเทพฯ ไปสมัครทำงานรับจ้างส่งของ (เครื่องใช้สำนักงาน) แถวเยาวราช เงินเดือน 1,700 บาท ก็เหลือเก็บครับเดือนละ 500 บาท สิ้นปีก็มีแต๊ะเอียก็พอได้ใช้ครับ ถึงแม้จะเหนื่อยก็ทนไหว เพราะเคยทำงานหนักตั้งแต่เด็ก
มาพบรักกับคนบ้านเดียวกันครับ ก็เลยขอเธอแต่งงาน แต่ตอนนั้นมีเงินก็ไม่พอค่าสินสอด ทำงานทุกบาททุกสตางค์ให้เธอเก็บหมด บ้านที่เช่าอยู่มีพี่ๆหลายคนอยู่ด้วยกัน ตกกลางคืนก็จะเอาไฮโลมาเขย่า เล่นกันแบบสนุก...ขำๆ เข้าทางผมครับ ไปซื้อลูกไฮโลแถวสามย่านมาครับแบบ 5 5 1 คือ เวลาเราเขย่านิดเดียวกันก็จะขึ้น 5 5 1 ผมอาสาเป็นเจ้ามือก็สลับกับไฮโลของพี่เขาโดยไม่ให้เขารู้ ผลปรากฏว่า ได้ผลครับ และคิดว่าคงเดาออกนะครับว่า ผมเอาเงินไปทำอะไร คนเราเวลาจนมุมมันก็จะคิดทำในเรื่องแปลกๆ
ผมไปสู่ขอผู้หญิงคนนี้ด้วยตนเองครับ แม่ยายถามว่าทำไมให้พ่อแม่มาขอ ผมบอกว่า พ่อแม่ไม่ได้แต่งด้วย เมียผมผมก็ต้องขอเอง.. (อิ อิ อิ) แต่สุดท้ายก็ให้ผู้เฒ่าผู้แก่เหมือนเดิมนั่นแหละ
หลังแต่งงาน ผมกับเธอก็พากันไปหาบ้านเช่า ผมไปดูแถวฝั่งธนฯ โอ้โหครับ ห้องละ 700 บาทต่อเดือน ห้องกั้นด้วยเศษไม้กระดาน ใต้ถุนเต็มไปด้วยน้ำเสีย ยุงก็เยอะ ก็เลยไปที่อื่น (แต่คนอื่นๆเขาก็อยู่กันนะ นับถือๆ จริงๆ) ก็ไปได้ห้องเช่าแถวถนนตก อยู่ชั้น 3 ครับ มีห้องน้ำอยู่ชั้นล่างห้องเดียว น้ำอาบ น้ำดื่ม น้ำใช้ ผมก็เอาจากห้องน้ำห้องนี้แหละ ก็ซื้อของเข้าห้อง ของชิ้นแรก คือ ทีวีครับ แล้วก็ เขียง มีดอีโต้ ครก สาก แค่นี้ครับ
ต่อมาผมย้ายมาทำงานที่บริษัทประกันภัยแห่งหนึ่ง เป็นพนักงานส่งเอกสาร ชื่อบริษัท ..อุตสาหะประกันภัย (ชื่อประมาณนี้ครับ) อยู่ฝ่ายวิจัยและพัฒนาระบบ ทำงานวันแรก ผจก.ฝ่ายก็ให้ผมไปรับเงินที่ตึก เนชั่น บางนา เงินสดสามแสนกว่าบาท (สงสัยจะเป็นการทดสอบ) ก็โอเคครับ ได้พิเศษ 500 ตั้งแต่นั้นมาผมจึงเป็นที่ไว้วางใจ เพื่อนๆในฝ่ายเก่งๆทั้งนั้นครับ ผมจึงมีโอกาสได้รับความรู้ต่างๆมากมายจากตรงนี้ ผมว่าได้ความรู้จากที่นี่มากกว่าตอนที่ผมเรียนเสียอีก.. ผมเป็นคนเรียนไม่เก่งครับ แต่ผมประเภทครูพักรักจำ ช่วยงานเขาทุกอย่างจนมีโอกาสเป็นพนักงานยอดเยี่ยมของบริษัทฯ ทำให้เงินเดือนขึ้นเยอะพอสมควร
ส่วนคู่ชีวิตผมนั้นก็ทำงานที่ บ.จิวเวอร์รี อาคารหวั่งหลี เงินเดือนก็น้อยครับแต่พออยู่ได้ ช่วงนี้ก็ต้องส่งน้องที่บ้านนอกเรียน 2 คน เมียผมก็ต้มไข่ไปขายที่ทำงาน ก็ลำบากครับ ก็พออยู่ได้ครับ...ช่วงนี้ผมกับเธอพักอยู่ที่ประชานิเวศน์ หลังโรงเรียน (ตอนปี 35 ช่วงรัฐประหารแถวนี้ทหารเต็มไปหมด) เธอจะไปทำงานด้วยการขึ้นรถไฟ ก็ขึ้นที่สถานีบางเขน เมื่อเธอท้องโต ขึ้นลงรถไฟลำบากผมกับเธอจึงตัดสินใจลาออกจากงาน ไปอยู่บ้านนอกในปี 39 ประกอบกับช่วงนั้นเป็นช่วงที่เศรษฐกิจเริ่มทรุด..คนเริ่มตกงาน
ผมกลับมาตระเวนขายเครื่องถ่ายเอกสารมือสอง ส่วนภรรยากลับไปอยู่กับครอบครัวรอคลอด นานๆจะเจอกันเพราะอยู่กันคนละจังหวัด แต่แล้ววันที่เธอคลอด ผมก็ใจสลาย เพราะว่าลูกผมที่คลอดออกมาแล้วหมอแจ้งว่ามีปัญหาระบบขับถ่ายต้องผ่าตัด เพื่อนๆครับ ขณะที่ตอนนั้นเงินก็มีไม่มาก งานก็ไม่เป็นหลักแหล่ง ลูกเกิดมาเพียงวันเดียวหมอก็ต้องเอาเข็มน้ำเกลือเสียบไว้ที่หัว ผมสงสารลูกกับเมียสุดๆ แต่โชคดีที่ว่าการรักษาเด็กไม่มีค่าใช้จ่าย และอยู่รักษาตัวไม่นานก็ออกจากโรงพยาบาลได้ ระหว่างรักษาตัวผมไปบนบานไว้ที่ศาลเจ้าพ่อหลักเมือง ด้วยมาลัย 7 สี 7 ศอก และภาวนาอยู่ในใจขอให้ลูกรอดปลอดภัย สุดท้ายก็รอดครับ ตอนนี้เรียนอยู่ชั้น ม.6 ผมตั้งชื่อลูกว่า......(ซึ่งมีความหมายเกี่ยวกับการได้มาโดยบังเอิญ) เป็นชื่อที่เป็นมงคลกับผมมาก เพราะ..ในเวลาต่อมาลูกค้าเข้าร้านผมเพราะชื่อร้านความหมายดี (เชื่อไหมลูกค้าที่มาทำเอกสารผลงานที่ร้าน จะผ่านแทบทุกคน มีบ้างที่ต้องปรับปรุง) เรื่องราวเหล่านี้ลูกค้าจะบอกปากต่อปาก
พ่อบอกผมเสมอว่าให้พาลูกเมียไปอยู่ที่อื่นให้ได้ ไม่ให้อยู่ที่นี่(บ้านพ่อ)เพราะกลัวชาวบ้านเขาจะนินทาว่าเลี้ยงครอบครัวไม่ได้ พ่อเตือนผมตลอด
ผมจึงไปขอเช่าห้องเพื่อเปิดร้านกับเจ้คนหนึ่ง โดยลงทุนทำห้องน้ำเองและกั้นห้องเอง แล้วรับลูกเมียมาอยู่ด้วย พร้อมกับเงินติดตัว 4,000 บาท โดยพ่อให้เงินมาจ่ายค่าห้องเช่าล่วงหน้า 10,000 บาท ก็เหลืออีก 12,000 บาท
ผมเปิดร้านโรงพิมพ์และศูนย์ถ่ายเอกสารเล็กๆ(มากๆ)แต่โฆษณาเกินจริง แบบว่าครบวงจร มีเครื่องถ่ายเก่าๆตัวหนึ่ง เครื่องคอมฯ เครื่องเคลือบบัตร อย่างละตัวครับ เมีย 1 ลูก 1 อายุ 6 เดือน บ้านเช่า 2,000 /เดือน(จ่ายรายปี) ข้าวไม่ต้องซื้อ ในช่วง 3 เดือนแรก มีรายได้วันละ 20-30 บาท นึ่งข้าวใส่ติบ ซื้อไก่ 1 ไม้ 10 บาท กินทั้ง 3 มื้อกับเมีย บางครั้งก็จิ้มน้ำปลา กัดบักพริกดิบตามด้วยหัวหอมนี่หละก็อยู่ได้อย่างชิวชิว ที่ข้างบ้านเช่านั้นมีต้นมะละกอต้นหนึ่งครับ ลูกมันจะดกมาก ผมก็เลยได้มะละกอต้นนี้แหละช่วยพยุงชีวิตอีกทางหนึ่ง ต่อมาเดือนที่ 4 5 6... มีรายได้วันละ 50 บาท (ดีใจแทบตาย) วันไหนที่ได้ 100 ดีใจยังกะถูกหวย
เป็นที่น่าสังเกตว่า สายๆของทุกวัน เจ้คนนี้ก็จะมาเก็บมะละกอต้นเดียวกันกับผมนี้แหละทุกวันครับ จนเมียผมเห็นผิดสังเกตก็เลยเป็นอันเข้าใจว่า เพราะเรายังค้างค่าเช่าอยู่นี่เอง ผมกับเมียตัดสินใจขายทองสินสอด 2 บาท แล้วไปจ่ายค่าเช่าที่บ้านของแกที่อยู่ห่างไปอีกไกล พอจ่ายแล้ว เจ้แกก็บอกว่า ปีหน้าจะขึ้นค่าเช่าเป็นเดือนละ 2,500 บาท ผมพูดไม่ออกเลยครับ นึกในใจลำพังแค่จะกินไปวันๆยังยาก เจอไม้นี้เหี่ยวเลยครับ และตั้งแต่วันนั้นเจ้แกก็ไม่มาเดินผ่านหน้าบ้านอีกเลย
ต่อมาแกมาสั่งทำใบเสร็จ ผมก็เกรงใจเจ้าของบ้านเช่าครับ ทำให้ในราคา 25 บาท แต่เจ้แกจ่ายผมจริงเล่มละ 23 บาท ก็พูดไม่ออกก็ต้องทำใจ (ตอนนั้นอุปกรณ์ปรุกระดาษผมไม่มีครับ ผมก็ใช้วิธี เอามีดอีโต้ทำกับข้าวนี่แหละมาทำให้เป็นรอยหยักๆ แล้วก็มาตอก มีอยู่ครั้งหนึ่งมีอาจารย์คนหนึ่งมาจ้างให้พิมพ์งาน อ.3 ผมรับทันที พิมพ์อยู่ 2 วัน 2 คืน ไม่หลับไม่นอนครับก็ทำให้ร้านฯเริ่มมีงาน พวกงานเย็บปกเข้าเล่ม ถ้าเล่มบางก็ใช้คัตเตอร์กรีด แต่ถ้าหนาก็ไปจ้างเขาตัดอีกต่อหนึ่ง ทำให้ขาดรายได้ไป ผมเลยไปติดต่อกับออมสินเพื่อขอกู้เงินมาซื้อเครื่องตัด แต่ไม่ได้ครับ ไปกรุงไทยก็ไม่ได้ครับ ก็เลยต้องใช้คัตเตอร์กรีดเรื่อยมา (งานออกมาไม่สวยเลย)
พอปี 40 เศรษฐกิจไทยก็ทรุด ช่วงนั้นนายชวนเป็นนายกฯ ซึ่งการแก้ปัญหาขณะนั้น นายชวนจะออกในแนวประหยัด มัธยัสถ์ และมีการส่งเสริมทฤษฎีพอเพียง ช่วงนั้นคนต่างจังหวัดกลับบ้านกันเยอะมาก เพราะตกงาน ค้าขายขาดทุน แทบทุกคนกลับบ้านไปอาศัยพ่อแม่ที่บ้านนอกที่ส่วนมากเป็นเกษตรกร ทำไร่ ทำสวน ทำนา กลับมาช่วยพ่อแม่ทำงานที่บ้าน ก็ทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ไม่ลำบากมาก เพราะมีบ้านอยู่ มีข้าวกิน อาหารการกินหาได้ตามท้องไร่ท้องนา จะไม่มีก็แค่เงินเท่านั้น
ช่วงนั้นทั้งสื่อมวลชน รัฐบาล นักวิชาการ วิชาเกิน ต่างมองเห็นเป็นแนวทางเดียวกันว่า บ้านและครอบครัวที่ต่างจังหวัดของแต่ละคน และการเกษตร นั่นแหละคือฐานที่มั่นของชีวิต ภาคเกษตรคือเบาะรองรับการล้มที่ดีที่สุด และขอบคุณเกษตรกรคนต่างจังหวัดที่ช่วยดูแลและรับภาระช่วงที่เกิดวิกฤต ผมเปิดร้านปี 39 ปี 40 เศรษฐกิจทรุด ประกอบกับร้านก็เล็ก เงินทุนหมุนเวียน 4,000 บาท หลักทรัพย์อะไรก็ไม่มี ไปกู้เงินออมสินเขาก็ไม่ให้กู้ ไปกู้กรุงไทยเขาก็ไม่ให้กู้ ก็อยู่ไปตามประสารอวันตาย นึ่งข้าวเหนียวใส่กระติบ ซื้อไก่ไม้ 10 บาท กินกัน 2 คนผัวเมีย เลิกเหล้า เลิกบุหรี่ เลิกเที่ยว ลดรายจ่ายทุกอย่างครับ ก็พออยู่ได้
ต่อมาไม่นานมีการเลือกตั้ง พรรคไทยรักไทย เอาป้ายมาติดหน้าร้าน พร้อมกับข้อความ คิดใหม่ ทำใหม่ ผมนึกในใจว่า ยังงัยก็จะเลือกท่านทักษิณ ด้วยเหตุผลที่ว่า อยากลองของใหม่ ชอบเครื่องแบบ หน้าตาท่านดี รวย และกล้าติดสินใจ บุคลิกดี กล้าพูด คุยกับฝรั่งเสียงดัง ฟังชัด ฉะฉาน ซึ่งก็ไม่ได้คาดหวังอะไรมาก (ก็รู้กันอยู่ว่าในอดีตที่ผ่านมาเมื่อเลือกตั้งเสร็จก็งั้นๆ คล้ายๆกับว่าเขาขออำนาจเราไป เมื่อได้แล้วก็จบกัน ติดตามไม่ได้ ตรวจสอบไม่ได้ เรียกร้องไม่ได้ ทวงสัญญานโยบายไม่ได้)
แต่... จากวันนั้นวันที่ ไทยรักไทย มาแขวนป้ายหน้าร้าน ชีวิตผมก็เปลี่ยนไป...
- ผมมีงานมากขึ้นเพราะ ส.ส. เข้ามาถ่ายเอกสาร หลักฐานต่างๆ เยอะมาก ตั้ง 8-9 เบอร์ แต่ละเบอร์ทำเอกสารไม่ใช้น้อยๆ ทำให้ได้งานได้เงินมากขึ้น ราคาดีขึ้น เมื่อผลปรากฏว่า ท่านทักษิณ ชนะเลือกตั้ง แถลงนโยบายเสร็จสรรพ ด้วยวลีที่ว่า "จะเป็นรัฐบาลที่ทำงานเหนื่อยและหนักเพื่อประชาชน" การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ต่างสนใจในนโยบาย (ในขณะที่ประเทศไทยเป็นหนี้ IMF แต่ท่านทักษิณบอกว่าจะให้เงินชาวบ้านไปบริหาร หมู่บ้านละ 1 ล้าน ตอนนั้น พรรค ปชป. เอาแต่นั่งหัวเราะ) ข้าราชการตื่นตัว มีความกระฉับกระเฉง โครงการต่างๆ พรั่งพรูออกมา (ซึ่งไม่บอกทุกท่านก็น่าจะรู้ว่าเกิดการเปลี่ยนแปลงขนาดไหน)
- ต่อมามีนโยบาย ธนาคารคนจน ของธนาคารออมสิน ให้กู้รายละ 15,000-30,000 บาท ให้กับคนทั่วไปและพ่อค้าแม่ค้า โดยไม่ต้องมีหลักทรัพย์ ไม่ต้องมีคนค้ำประกัน ผมก็เอาด้วยครับ ก็เอามาซื้อของเข้าร้านเพิ่ม ใช้หนี้เขาสัก 2-3 เดือน ก็ผ่อนเกือบหมด ต่อมาก็มีโครงการสินเชื่อห้องแถว ผมก็เอาด้วยครับ เอามาซื้อเครื่องตัด ซื้อเครื่องถ่ายเพิ่ม ซื้ออุปกรณ์ต่างๆ ต่อมาผมก็ไปขอสินเชื่อประเภทซื้อที่อยู่อาศัย ธ.ออมสิน เห็นว่าผมส่งเงินเขาดี ไม่ขาดตกบกพร่องเขาก็ให้กู้ซื้อบ้านราคา 400,000 บาท ก็ผ่อนมาเรื่อยครับ ตอนนี้เหลือแสนกว่าบาท ซึ่งเงินผ่อนกับเงินค่าเช่ามันก็พอๆกัน
- ต่อมาก็มีโครงการต่างๆ ออกมาจากรัฐอีกมากมายฯ ซึ่งทุกโครงการล้วนแต่กระตุ้นการจับจ่ายใช้สอย กระจายเงิน กระจายโอกาส เช่น ป.บัณฑิต เงินเพิ่ม อ.3 ผอ.กันดาร (ผอ.3.4) เพิ่มเงิน ป.ของตำรวจ หวยบนดิน เขียนจดหมายขอทุน 1 อำเภอ 1 โรงเรียน โอท็อป แก้ปัญหาความยากจน 30 บาทรักษาทุกโรค พักหนี้ บ้านเอื้ออาทร จำนำข้าวและพืชผลอื่น โอท็อป เงินกู้เรียน ปราบเงินนอกระบบ เพิ่มเบี้ยยังชีพคนชรา แปลงสินทรัพย์เป็นทุน ฯลฯ ทุกโครงการ...ร้านค้าเล็กๆอย่างผมก็จะได้งานเพิ่มขึ้น แน่นอนว่ารายได้ก็ตามมา ซึ่งเป็นคนละอย่างกันกับ ท่านชวน หลีกภัย แห่ง ปชป. ที่มุ่งเน้นการประหยัด เก็บหอมรอบริบ พอเพียง (และหลายคนก็ได้รับโอกาสเหมือนผมนี่แหละ)
จวบจนกระทั่งปัจจุบันนี้ จากที่ผมเป็นร้านเล็กๆในอดีต ปัจจุบันก็ถือว่ามีความพร้อมในการให้บริการลูกค้ามากขึ้น ติดตั้งโทรศัพท์ไว้ รับ-ส่งแฟกซ์ มีเครื่องถ่าย 5 ตัว เครื่องพิมพ์ 2 ตัว เครื่องปริ้น 7 ตัว เครื่องคอมพิวเตอร์ 2 ชุด เครื่องตัด อุปกรณ์อื่นๆ อีกมากมาย
สั่งกระดาษเข้าครั้งละประมาณ 100-200 รีม(เอ4) ก็เป็นเรื่องปกติ ซื้อที่ดินในตัวอำเภอ 3 แปลง มีรถคันละล้านขับ จากร้านที่เช่าก็ซื้อเขาซะจะได้ไม่ต้องกลัวเขาไล่ที่ ส่งลูกเรียนพิเศษได้ ไปเที่ยวทะเลในวันหยุดได้ วันไหนว่างๆ ก็พาลูกเมียไปกินพิซซ่าได้ กินสุกี้ได้ ดูหนัง ตามห้างฯได้ มีโน๊ตบุ๊คให้ลูกใช้ มีโทรศัพท์มือถือดีๆเครื่องละหมื่นกว่าๆใช้ มีทีวีจอ 40 นิ้วไว้ดู มีคาราโอเกะไว้ร้อง มีชุดโฮมเธียร์เตอร์ ชำระค่าเน็ตเดือนละ 700 ได้ และก็เป็นหนี้ได้สัก 2-300,000 บาท คือ สรุปว่าชีวิตมันเปลี่ยนไปในทิศทางที่ดีขึ้น แม้มันจะไม่มากก็ตาม อาจเป็นหนี้เป็นสินบ้าง แต่ก็อยู่ในภาวะที่จะชำระได้ หักลบกลบหนี้แล้วก็พอมีกำไร (มันก็ดีกว่าตอนที่ทั้งวัน ไก่ 1 ไม้ 10 บาท กินทั้งผัวเมีย จนชาวบ้านเขาต่างดูถูกว่า สงสัยจะเลี้ยงลูกเลี้ยงครอบครัวไม่ไหว)
ที่เล่ามานี้ ผมไม่ได้ว่าจะอวด จะอวย จะทะเลาะอย่างที่ว่าไว้ เพียงแต่จะสะท้อนให้เห็นว่า
1. วันหนึ่งเมื่อคนกรุงเทพฯ หรือภาคธุรกิจ-อุตสาหกรรม เดือดร้อนเพราะเศรษฐกิจ พวกคุณก็เอาคนที่ตกงาน เอาภาระของสังคมไปฝากไว้กับ ภาคการเกษตร ที่มีแต่คนแก่ คนเฒ่าเป็นผู้บริหาร พวกเขาขาดทั้งเงินทุน ขาดทั้งองค์ความรู้ การคมนาคม อำนาจต่อรอง ฯลฯ แต่เขาก็ทำหน้าที่เลี้ยงดูคนทั้งประเทศได้ จนประเทศฟื้นคืนสู่ปกติ
แล้ววันหนึ่ง วันที่พวกเขาทำการเกษตรแล้วพอจะมีกำไรบ้าง พอที่จะปลดเปลื้องหนี้สินได้บ้าง ภาคธุรกิจ-อุตสาหกรรม ก็ต่อต้านตั้งแง่กับเขาว่าได้มากไป จะทำให้ประเทศชาติทรุด ทั้งๆที่วันที่ประเทศชาติทรุด พวกเขาเป็นคนดูแล อย่างนี้ยุติธรรมสำหรับเขาแล้วหรือ (ส่วนนักการเมืองบางฝ่ายก็ไล่ล่า ไล่ล้มกัน หาใช่การตรวจสอบเพื่อให้ภาคเกษตรกรได้ประโยชน์สูงสุดอย่างที่กล่าวอ้าง)
2. แล้วที่ผมบอกว่า ผมมีสิ่งของต่างๆนานา หลายๆอย่าง ก็ใช่ว่าผมจะอวด เพียงแต่อยากจะสะท้อนให้เห็นว่า ของที่ผมซื้อหามาได้นั้น ส่วนมาก ชาวไร่ชาวนา เขาไม่ได้ผลิต มีแต่คนรวย พ่อค้า นายทุน เจ้าของโรงงาน นายธนาคาร และคนชั้นกลาง-ชั้นสูง เท่านั้นที่ร่วมกันผลิต นั้นแสดงว่า แม้ผมจะทำมาหาได้ แต่สุดท้ายแล้วเงินก็กลับไปสู่พวกคุณที่เป็นพ่อค้านายทุน คนชั้นกลาง-ชั้นสูงอย่างพวกคุณ ใช่หรือไม่ (แล้วพวกคุณจะบอกว่า ท่านทักษิณฯ เอาเงินมาแจกคนจนได้อย่างไร)
ก็ใช่ว่าผมจะลุ่มหลงในโลกของทุนนิยมไปเสียทั้งหมด เพราะในที่ทางที่ผมมี ผมก็ทำตามที่พ่อท่านบอก (แต่ไม่ทำอย่างพ่อท่านทำ) คือ ปลูกทุกอย่างที่กิน ปลูกข้าว (3 ไร่) พริก มะนาว ข่า ตะไคร้ ใบมะกรูด แมงลัก มะละกอ กระท้อน มีบ่อปลาเล็กๆ 2 บ่อครับ แต่จับปลากินได้ทั้งปี มีกระถิน ตำลึง มะรุม ผักพื้นบ้านก็เก็บกินได้ทั้งปีครับ ปลอดจากสารเคมีทุกชนิดครับ ใช้ขี้วัว ขี้ควาย เป็นปุ๋ย (มะม่วงที่สวนผมลูกใหญ่ที่สุดในอำเภอครับ) ไก่ป่า..ก็เยอะสุดครับ เป็นเถียงนาเล็กๆครับ แต่อยู่ง่ายๆ สบายๆ
"ต้องยอมรับว่า ผมมีชีวิตแบบปกติสุขอย่างทุกวันนี้ได้เพราะนโยบายของท่านทักษิณ ชินวัตร จริงๆ แล้วแบบนี้ ไม่ให้ผมรัก ไม่ให้ผมเลือกท่าน ก็ช่วยตอบผมหน่อยเถอะว่า จะให้เลือกหมาที่ไหน???"
สุดท้ายผมอยากบอกว่า "เมื่อก่อนท้องลูกท้องเมียกำลังหิว บากหน้าไปหาใครก็ไม่มีใครเหลียวแล มาบัดนี้กินอิ่มนอนอุ่น แล้วจะให้ลืมคนที่หยิบยื่นให้ได้อย่างไร คำว่า"ขอบคุณ"อาจจะน้อยเกินไปสำหรับเขา"
ขอบคุณ ขอบคุณ ขอบคุณจริงๆ..............
ปล. ข้อมูลจริงครับไม่ได้ดราม่า และยินดีต้อนรับทุกท่าน..ครับ
By: คนไทยใจกว้าง : หลายๆคน ที่เกลียดกลัว ทักษิณ จนหัวคะมำ สมองวิปลาส ก็ให้ งง และสงสัยว่า ทักษิณ ไปทำร้ายเขาและครอบครัวยังไง หรือไปตัดทางทำมาหากินเขาหรือเปล่า ทำไมถึงได้ เกลียดชัง ขนาดนั้น ... ทำให้เกิดคำถามว่า คนที่ลำบากเพราะ ทักษิณ นั้น ประกอบอาชีพอะไรกันบ้าง เพราะต้องเสียผลประโยชน์จากนโยบายของเขา ... ทักษิณ ไปทำร้ายครอบครัวเขารึเปล่า ... หรือ เกลียดเพราะอยากจะ "แตกต่าง" กับคนส่วนใหญ่
By: ขนมต้ม : มีอยู่ไม่กี่กลุ่มครับ
1. พวกค้ายาเสพติด โครงข่ายใหญ่
2. พวกมาเฟียที่เคยรีดไถชาวบ้าน จำได้มั้ย ตอนแม่ค้าที่นครสวรรค์ถูกฟันมือขาดจากแก๊งทวงหนี้ ทักษิณเป็นนายกฯ สั่งการให้จัดการกับกลุ่มพวกหนี้นอกระบบ
3. พวกชนชั้นกลาง-สูงที่เห็นแก่ตัวบางกลุ่ม (ประชาธิปัตย์นิยม) พวกนี้จะไม่สนใจอะไรมาก แค่เห็นคนอื่นด่า ก็เอาตามกระแสตามแฟชั่นไป
4. พวกสื่อมวลชน ที่ไม่ได้กินกับทักษิณ มีคนบอกว่า มติชนไม่กินเหรอ ถ้างั้น จะบอกให้ว่า มติชนนี่เคยมีเรื่องกับทักษิณมาก่อน ที่หุ้นกลุ่มมติชน จะถูกกลุ่มของอากู๋ แกรมมี่ซื้อ ปรากฏว่า มติชนก็ไปเรียกร้องว่าอย่าแทรกแซงสื่อ ตั้งโต๊ะรับซื้อคืน คนที่สบายก็คืออากู๋ เพราะหุ้นขายได้กำไร
ตอนไล่ทักษิณ มติชนเอาด้วย แต่มากลับตัวได้หลังรัฐประหาร เพราะมติชนยืนหยัดบนหลักการไม่เอาเผด็จการรัฐประหาร และเข้ามาอยู่กับกลุ่มประชาชนจนถึงทุกวันนี้ แถมยังลาออกจากการเป็นสมาชิกสมาคมนักข่าวหนังสือพิมพ์ฯ เพราะในนั้นเขาเล่นพรรคเล่นพวก กลัวสนธิ เป็นแถบๆ
ส่วนสื่อเจ้าอื่นๆ ไม่อยากพูดถึง เพราะพูดไปเดี๋ยวจะหาว่าไปแฉกันอีก
By: มะฮอกกานีใบใหญ่ : ดิฉันชอบคำพูดประโยคหนึ่งของคุณทักษิณมากๆ "เงินลอยอยู่ในอากาศ"
คำพูดนี้แหละ ที่ช่วงหนึ่ง มีคนบางกลุ่ม (และอดีตเพื่อนเหลืองของอิฉันด้วย) หัวเราะเยาะมาแล้ว
และเอามาเล่นคำ ถากถางกันอยู่พักใหญ่ๆ แต่ไม่คิดซักนิดว่า คำนี้น่ะ แท้จริงแล้ว มีความหมายซ่อนอยู่ว่าอย่างไร เหอะๆๆ
By: สมาชิกหมายเลข 873950 : ว่าด้วยเรื่องการเข้าถึงเงินทุน และผลสำเร็จ
เค้าว่าคนรวย ยิ่งทำยิ่งรวยขึ้น คนจนยิ่งทำยิ่งจนลง ... หรือคำกล่าวที่ว่าเงินล้านแรกมันยากเย็นแสนเข็ญ ล้านต่อไปแป๊ปเดียวก็ได้แล้ว
เพราะอะไร ไม่ใช้ว่าคนรวยเก่งกว่าคนจนซะหมด แต่ว่า...
คนที่มีทุนจะมีโอกาสมากกว่า มีโอกาสขยายร้าน ขยายธุรกิจ หรือลงทุนในธุรกิจที่มองเห็นโอกาสที่จะทำกำไรได้ตามใจชอบ
ในขณะที่คนจน ถึงจะมองเห็นธุรกิจที่จะหาเงินได้ แต่แค่ข้าวจะกินยังไม่พอเลย ไหนจะค่าเช่าบ้าน ถ้าจะให้อดข้าวและนอนข้างถนนสักเดือน สองเดือนเพื่อหาเงินทุนในการทำธุรกิจที่มองเห็นลู่ทางในการหากำไรได้ ก็คงทำไม่ได้
>>>> ดังนั้นการเข้าถึงแหล่งเงินทุน จึงเป็นสิ่งที่สำคัญ เป็นโอกาสที่จะทำให้สามารถดำเนินธุรกิจได้
>>>> แต่คนจนมีโอกาสเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้น้อยมาก
>>>> ผู้บริหารที่มีวิสัยทัศน์ ย่อมต้องหาทางให้คนด้อยโอกาสได้เข้าถึงแหล่งเงินทุน เพื่อให้เค้ามีโอกาสได้ลืมตาอ้าปาก
>>>> แต่เหรียญมีสองด้าน คนก็เช่นกัน มีทั้งคนพร้อมจะเอามาใช้เป็นโอกาสของชีวิต และคนที่วุฒิภาวะยังไม่พร้อมที่จะรับโอกาสนี้
>>>> บางคนนำเงินกู้ที่ได้ไปใช้เป็นทุนในการทำมาหากิน ต่อยอดจนร่ำรวยขึ้นมา
>>>> บางคนเอาไปซื้อมอไซด์ เอาไปกินเหล้า ฯลฯ ที่ไม่มีประโยชน์ ทำให้ยิ่งเป็นหนี้เป็นสิน
>>>> สำหรับผม ตัวชี้วัดนโยบายนี้คือ ถ้ามีคนกลุ่มแรก นำเงินทุนที่ได้มาใช้ในการลงทุน และเป็นเหมือนเจ้าของกระทู้ ซัก 1 ใน 4 ผมถือว่าโครงการนี้ประสบผลสำเร็จแล้ว
ปล. ผมไม่ได้หมายความว่าคนที่กู้เงินจากกองทุนหมู่บ้านเป็นคนจนทุกคนนะครับ และไม่รู้ด้วยว่าที่จริงแล้ว ผลเป็นอย่างไง
By: นายหมวดโท : ขณะนั้นผมรับราชการ ภรรยาค้าขาย ผมและภรรยาไม่ได้รับประโยชน์โดยตรงจากรัฐบาลท่านทักษิณ แต่การค้าของภรรยาตอนนั้นรุ่งเรืองมากบางวันได้ถึงวันละแสนกว่าบาทก็มีอยู่บ่อย ๆ ส่วนผมต้องเหนื่อยมากๆ ทำงานเสาร์ อาทิตย์ ในสัปดาห์หนึ่งกลับบ้านตีหนึ่งตีสองถึงสามสี่วันโดยไม่ได้รับเบี้ยเลี้ยงหรือเงินนอกเวลา มีการจ้างลูกจ้างเรียกว่า สย. เข้ามาปฏิบัติงานระดมการแก้ปัญหาความยากจน สำรวจปัญหาเพื่อต้องการทราบแก่นแท้ของปัญหาความยากจนและต่อมาท่านนายกทักษิณได้นำปัญหาที่พบมาทดลองการแก้ปัญหาที่เรียกว่า "อาจสามารถโมเดล" ซึ่งเป็นที่รู้ๆกัน
เป็นที่รู้กันโดยทั่วไปว่าช่วงนั้นบ้านเมืองมีท่าทีว่ารุ่งเรืองอย่างก้าวกระโดด ประชาชนทุกระดับมีความสุข มีความหวัง แต่คนกลุ่มเล็กๆ ทนไม่ได้ เช่น นายทุนเงินกู้ พ่อค้ายาเสพติด เจ้ามือหวยเถื่อน เพราะคนกลุ่มนี้สูญเสียผลประโยชน์ที่เคยได้รับอย่างมหาศาล ข้าราชการต้องทำงานหนักขึ้น รัฐบาลเป็นที่รักของประชาชน ทำให้เกิดคนอีกกลุ่มหนึ่งทนไม่ได้อิจฉาริษยา จึงหาทางทุกวิธีที่จะล้มให้ได้และในที่สุดก็ใช้ทหารทำรัฐประหาร บ้านเมืองจึงถอยหลังลงเหวอย่างที่รู้กัน
ชีวิตผมเคยเห็นการรัฐประหารมาก็หลายครั้งแต่ก็ไม่คิดอะไรมาก แต่รัฐประหารปี 49 ทำให้ผมกลั้นน้ำตาไม่อยู่ และยังเกลียดผู้ทำรัฐประหารและเครือข่ายของมันจนทุกวันนี้
By: โฟโต้แมน007 : คนกลุ่มนึงที่ผมรู้จักเรียกได้ว่าเศรษฐีใหม่ยุคทักษิณ เนื่องจากมีโอกาสเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้
ทำให้ได้ตั้งเนื้อตั้งตัวจากนโยบายหลายๆอย่างในยุคทักษิณ สร้างกิจการจากเล็กเป็นใหญ่
คนเหล่านี้เรียกว่าเสื้อแดงได้ไม่เต็มปากเพราะบางคนไม่เคยมีกิจกรรมทางการเมืองอะไรเลยก็มี
แต่ทุกครั้งเมื่อมีการเลือกตั้ง คนเหล่านี้รวมทั้งลูกหลาน/ ลูกน้องต่างกาให้พรรคทักษิณทุกครั้งไม่ว่าจะเปลี่ยนไปเป็นชื่อพรรคอะไร
เรื่องประชานิยมผมไม่เห็นว่าจะประชานิยมเกินไปจนชาติล่มจมยังไง พรรคประชาธิปัตย์ก็ทำเลียนแบบแต่ของปลอมย่อมทำไม่ได้เท่าของจริงๆ
ยุคทักษิณ ให้เข้าถึงแหล่งเงิน และเป็นหนี้ที่ต้องใช้คืน อย่างออมสินกู้ครั้งแรก 10,000 บาท (แบบมีคนค้ำหลายคน) ถ้าประวัติดีชำระคืนแล้วกู้เพิ่มได้อีก
เรียกว่า ทักษิณให้ทุน
ยุคอภิสิทธิ์ แจกเงินกันโดยตรง แจกเช็ค 2,000 บาทให้กับผู้ที่มีรายชื่ออยู่ในระบบประกันสังคมซึ่งเป็นคนทำงานทั้งนั้นโดยไม่ต้องใช้คืน
เรียกว่า อภิสิทธิ์ให้ทาน
By: ลูกมะพร้าว : ของผมก็มีตัวอย่างนะครับ คนที่เช่าบ้านผมเขาเป็นโรคหัวใจรักษาด้วยการผ่าตัด 30 บาท หายเป็นปกติ @ สดุดี..นโยบายบัตรทองประกันสุขภาพ 30 บาทรักษาทุกโรค
ผมว่านะครับ พวกนั้นเขาไม่ฟังหรอก ขนาดประชาชนส่วนหนึ่งไปเรียกร้องให้เลือกตั้งใหม่เขายังฆ่าได้ กะชาวนาเขาจะฟังรึ? ไม่ฟังก็ไม่ว่านะเขาใส่ความชั่วร้ายเข้าไปในข้าวเพื่อทำลายชาวนาอีก เช่น สารเคมี เชื้อโรคจากการเน่า แถข้อมูลเท็จปั่นกระแสให้ประเทศไทยขายข้าวไม่ได้เพียงเพื่อต้องการทำลายล้างและล้มรัฐบาลพรรคฝ่ายตรงข้ามเท่านั้น หาได้ฉุกคิดว่าการเล่นการเมืองโดยไม่คำนึงถึงผลผลิตของประเทศชาติมันจะสร้างความหายนะต่อชาวนาและการค้าข้าวของประเทศ เขาทำเป็นขบวนการทั้งสื่อชั่วๆและสมุนตามกติกา50 ช่วยกันดึงแข้งดึงขาไม่ให้ประเทศก้าวเดินไปข้างหน้า...
ผมว่าประเทศตอแหลแลนด์นี้ไม่มีทางเจริญได้ตราบใดยังมีพรรคการเมืองอย่างพรรคเก่าแก่แบบนี้
ทำกันให้เบ็ดเสร็จเด็ดขาดไปข้างใดข้างหนึ่งซะ
ให้รู้แล้วรู้รอด...
By: สมาชิกหมายเลข 702484 : ง่ายๆ... ทุกสิ่งทุกอย่างที่กล่าวหา กล่าวโทษทักษิณ จนทำให้ทักษิณเหมือนเป็นผู้วิเศษไปเระ เพราะอะไรๆ ก็ฝีมือทักษิณไปหมด จริงๆแล้วถ้าทักษิณโคตะระเลวได้จัยขนาดนั้น ป่านนี้คนก็ลืมไปหมดแล้ว จะมีก็คงคนที่เกลียดจนเข้ากระดูกดำแค่นั้นแหละที่จะสาปแช่งถึง แต่ที่ทักษิณยังอยู่ในใจคนหลายๆคนอยู่ ก็เพราะผลงานที่เคยได้ทำแหละ
และถ้าเหลือบมองไปที่อีกฝากฝั่งหนึ่ง เอาผลงานมาเทียบกัน ก็ดันสู้ทักษิณไม่ได้อีก เท้อ โลกเดวนี้เปลี่ยนไปแล้ว นายกฯ และ นักการเมือง ที่เป็นนักการเมืองโดยอาชีพ มันล้าสมัยมันไม่ทันโลกแล้ว ผู้นำที่ไม่มีวิสัยทัศน์ ไม่มีองค์ความรู้แบบกว้างขวาง แบบมหภาค ยากที่จะพาประเทศแข่งขันกับนานาชาติได้ ค่าของคนอยู่ที่ผลของงาน คำๆนี้ยังใช้ได้เสมอๆ ผลงานหลายๆอย่างที่เคยได้ทำ นั่นแหละเป็นสิ่งที่ทำให้ทักษิณยังอยู่ในใจ คนจำนวนหนึ่ง ซึ่งก็ไม่น้อยเลยทีเดียว
ประเทศไทยตราบใดที่ ผู้ที่มีอำนาจ มีเพาเวอร์ ที่แอบแฝงอยู่ ไม่แสดงตัวออกมา และยังคงเล่นเกมแห่งอำนาจอยู่ มันก็จะเป็นแบบนี้ไปอีกระยะหนึ่งแน่ๆ รัฐบาลเสียงข้างมาก แทนที่จะมีอำนาจในการบริหารประเทศได้อย่างเต็มที่ กลับต้องมาติดขัดโน่นนี่นั่น สารพัดองค์กรอิสระ มีแต่คนฟ้องโน่นนี่นั่นเต็มไปหมด เดวเรื่องโน้น เดวเรื่องนี้ องค์สารพัดองค์..ชื่อแปลกๆ ชื่อคุ้นๆ กลุ่มคนเดิมที่รักชาติหนักหนัก ที่ยกตัวเองว่า เปี่ยมคุณธรรม จริยธรรมมากมาย ต่างขยันแข็งขันกระวีกระวาด ออกมาแถลงโน่น ฟ้องนี้กันตัวเป็นเกลียว องค์กรอิสระ ก็รับลูกตลอด
ต่างกับสมัย ปชป. เป็นรัฐบาล คนพวกนี้ไม่รู้หายเฮดไปไหนหมด ทุกอย่างผมว่า มันเป็นกระบวนการ และมันมีคนชักใยอยู่เบื้องหลัง สืบต่อเนื่องมาแต่ ปี 49 ตั้งแต่วางแผนล้มรัฐบาลทักษิณ 1 การรัฐประหาร การร่าง รธน.50 การแต่งตั้งองค์กรอิสระ การวางบทบาทชี้เป็นชี้ตาย ไว้ที่ระบบศาลเฉพาะ
ประเทศเลย ยึกยัก ชักเย่อกันระหว่างสองอำนาจ อำนาจหนึ่งมาโดยระบอบ ผ่านการเลือกตั้ง อำนาจหนึ่งเป็นอำนาจที่แฝงเร้นอยู่ ทั้งที่เป็นตัวบุคคล และทั้งที่เป็นระบบผ่าน รธน.50 เท้อ ประเทศไทยคงไปไหนไม่ไกล เผลอๆอาจต้องถอยหลังอีก หรือว่ามันต้องให้เสียหาย บาดเจ็บล้มตายกันอีกครั้งใหญ่ ทำกันให้เบ็ดเสร็จเด็ดขาดไปข้างใดข้างหนึ่งซะให้รู้แล้วรู้รอด งั้นมันไปข้างหน้าไม่ได้
ที่ผ่านมาก็น่าเกลียดจนเกินไปแล้ว ทั้งรัฐประหาร ทั้งปลดนายกฯ ยุบพรรค ตัดสิทธิ์ 555 ในโลกนี้คงมีไม่กี่ประเทศหรอก หรือ อาจมีแค่ประเทศไทยประเทศเดียว ที่นายกฯปลดง่ายยิ่งกว่า ภารโรง ร.ร. ซะอีก สมัคร สมชาย ไปง่ายๆ เลือกตั้งแทบตาย
วันนี้ความจริงสิ่งที่ฝ่ายต้องการล้มทักษิณต้องทำก็คง การเปลี่ยนแปลง การเสริมสร้างศักยภาพ ให้แก่พรรคการเมืองที่ฝ่ายตนเองสนับสนุนอยู่ ให้เป็นพรรคที่ประชาชนสามารถไว้ใจ เป็นพรรคที่เป็นทางเลือกที่ดี หรือไม่ ใครก็ตามที่เล่นเกมนี้อยู่ ที่ซุ่มๆไม่เปิดเผยตัว ก็เผยตัวตนออกมา และแสดงเจตนา ว่าต้องการให้ประเทศเป็นแบบไหน ไม่เอาพรรคทักษิณเพราะอะไร และถ้าไม่เอาพรรคทักษิณ แล้วจะเอาแบบไหน และก็ให้ความมั่นใจกับประชาชนซะ ว่าต้องการให้ประเทศเป็นแบบนี้ ถ้าประชาชนเชื่อใจ ก็จะทำให้ประเทศพัฒนา ทำให้ประชาชนอยู่ดีกินดี ทำได้ประชาชนก็ยกย่อง ทักษิณก็ไร้ความหมายไปเอง ทำไม่ได้ประชาชนก็สาปส่ง เป็นการแสดงความรับผิดชอบ ไม่ใช่ซุ่มเงียบคอยป่วนไปเรื่อยๆ ไม่ได้มีความรับผิดชอบต่อสังคม ต่อประชาชนใดๆทั้งสิ้น
เฮ้อ!!..บอกตรงๆ รำคาญครับ